ตอนท 3 แหล งเร ยนร ในช มชน

June 10, 2017 | Author: บุญศรี สโตเกอร์ | Category: N/A
Share Embed Donate


Short Description

Download ตอนท 3 แหล งเร ยนร ในช มชน...

Description

52

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

ตอนที่ 3 แหลงเรียนรูในชุมชน เนือ้ หาการเรียนรู้ 1. ความหมาย ความสําคัญ และประโยชน์ของแหล่งเรี ยนรู ้ 2. ประเภทของแหล่งเรี ยนรู ้ในชุมชนและแหล่งเรี ยนรู ้ใกล้ตวั การให้บริ การ ( 1 ) กลุ่มบริ การข้อมูล ( 2 ) กลุ่มศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ( 3 ) กลุ่มข้อมูลท้องถิ่น ( 4 ) กลุ่มสื่ อ ( 5 ) กลุ่มสันทนาการ 3. การศึกษาสํารวจแหล่งเรี ยนรู ้ในชุมชน / ใกล้ตวั 4. การปฏิบตั ิการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล/ความรู ้จากแหล่งเรี ยนรู ้ 5 กลุ่มเนื้อหาจาก กลุ่มบริ การข้อมูล กลุ่มศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ กลุ่มข้อมูลท้องถิ่น กลุ่มสื่ อ กลุ่มสันทนาการ

ความหมายของแหล่ งเรียนรู้ แหล่งเรี ยนรู ้ หมายถึง ถิ่นที่อยู่ บริ เวณ ศูนย์รวม บ่อเกิด แห่ง หรื อที่ ที่มีสาระเนื้อหาเป็ นข้อมูล ความรู ้หรื อเรี ยกว่า องค์ความรู ้ที่ปรากฏอยูร่ อบตัวของมนุษย์ เพื่อได้รับข้อมูลความรู ้จากประสาท สัมผัสต่างๆ ทั้ง หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจแล้ว จะเกิดความรู ้ ความเข้าใจ และรู ้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง ต่างๆได้

ความสํ าคัญและประโยชน์ ของแหล่ งเรียนรู้ แหล่งเรี ยนรู ้มีบทบาทสําคัญในการช่วยพัฒนาคุณภาพของมนุษย์ ในยุคความรู ้ของมนุษย์เกิด ขึ้นใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ ว ดังนี้ 1. เป็ นแหล่งที่มีสาระเนื้อหาที่เป็ นข้อมูลความรู ้ ให้มนุษย์เกิดโลกทัศน์ที่กว้างไกลกว่าเดิม ช่วยให้เกิดความสนใจในเรื่ องสําคัญ ช่วยยกระดับความทะเยอทะยานของผูศ้ ึกษา จากการนําเสนอ สาระความรู ้ หรื อภาพในอุดมคติ หรื อเสนอผลสําเร็ จและความก้าวหน้าของงาน หรื อชิ้นงาน หรื อ เทคโนโลยี หรื อบุคคลต่างๆของแหล่งเรี ยนรู ้ 2. เป็ นสื่ อการเรี ยนรู ้ การเรี ยนรู ้สมัยใหม่ที่ให้ท้ งั สาระ ความรู ้ ก่อให้เกิดทักษะและช่วยให้เกิด การเรี ยนรู ้ได้เร็ วขึ้นมากยิง่ ขึ้น 3. เป็ นแหล่งช่วยเสริ มการเรี ยนรู ้ของการศึกษาประเภทต่างๆ ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 4. เป็ นแหล่งการเรี ยนรู ้ตลอดชี วิตที่มนุ ษย์สามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์ในการหาความรู ้ต่างๆ ได้ดว้ ยตนเองตลอดเวลา โดยไม่จาํ กัด เพศ วัย ระดับความรู ้ความสามารถ

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

53

5. เป็ นแหล่งที่มนุษย์สามารถเข้าไปปฏิสมั พันธ์ในการหาความรู ้ จากแหล่งกําเนิด หรื อแหล่ง ต้นตอของความรู ้ เช่น จากโบราณสถาน โบราณวัตถุ พันธุ์ไม้ พันธุ์สตั ว์ สภาพชีวติ ความเป็ นอยูต่ าม ธรรมชาติของสัตว์เป็ นต้น 6. เป็ นแหล่งที่มนุษย์สามารถเข้าไปปฏิสมั พันธ์ให้เกิดประสบการณ์ตรง หรื อลงมือปฏิบตั ิได้ จริ ง เช่น การประดิษฐ์เครื่ องใช้ต่างๆ การซ่อมแซมเครื่ องยนต์ เป็ นต้น ช่วยกระตุน้ ให้เกิดความสนใจ ความใฝ่ รู ้ 7. เป็ นแหล่งที่มนุษย์สามารถเข้าไปปฏิสมั พันธ์ให้เกิดความรู ้ เกี่ยวกับวิทยาการใหม่ๆที่ได้รับ การคิดค้นขึ้น และยังไม่มีของจริ งให้เห็น เช่น การดูภาพยนตร์ วีดิทศั น์ หรื อสื่ ออื่นๆ ในเรื่ องการ ประดิษฐ์คิดค้นสิ่ งต่างๆขึ้นมาใหม่ ระหว่างคนในท้องถิ่นกับผูเ้ ข้าศึกษาในการทํา 8. เป็ นแหล่งส่ งเสริ มความสัมพันธ์อนั ดี กิจกรรมร่ วมกัน ช่วยสร้างความรู ้สึกของการเป็ นส่ วนหนึ่งของการมีส่วนร่ วม เกิดความตระหนักและ เห็นคุณค่าของแหล่งเรี ยนรู ้ 9. เป็ นสิ่ งที่ช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยมให้เกิดการยอมรับสิ่ งใหม่ แนวคิดใหม่ เกิดจิต นาการและความคิดสร้างสรรค์กบั ผูเ้ รี ยน 10. เป็ นการประหยัดเงินของผูเ้ รี ยนในการใช้แหล่งเรี ยนรู ้ของชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุ ด

ประเภทของแหล่ งเรียนรู้ ในชุมชนและแหล่ งเรียนรู้ ใกล้ ตวั แหล่งเรี ยนรู ้ในชุมชนมีการแบ่งแยกตามลักษณะได้ 6 ประเภท ดังนี้ 1. แหล่งเรี ยนรู ้ประเภทบุคคล ได้แก่ บุคคลที่มีความรู ้ ความสามารถด้านต่างๆที่สามารถ ถ่ายทอดความรู ้ ด้วยรู ปแบบวิธีต่างๆที่ตนมีอยู่ ให้ผสู ้ นใจ หรื อผูต้ อ้ งการเรี ยนรู ้ เช่น ผูเ้ ชี่ยวชาญในสาขา วิชาต่างๆ ผูอ้ าวุโสที่มีประสบการณ์มามาก หรื ออาจเป็ นบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็ นทางการ มีบทบาท สถานะทางสังคม หรื ออาจเป็ นบุคคลที่เป็ นโดยการงานอาชีพ หรื อบุคคลที่เป็ นโดยความสามารถเฉพาะ ตัวหรื อบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็ นภูมิปัญญา 2. แหล่งเรี ยนรู ้ประเภทธรรมชาติ ได้แก่ สิ่ งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและให้ประโยชน์ ต่อมนุษย์ เช่น ดิน นํ้า อากาศ พืช สัตว์ ต้นไม้ แร่ ธาตุ ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ อาจถูกจัดให้เป็ น อุทยาน วนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สตั ว์ป่า สวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เป็ นต้น 3. แหล่งเรี ยนรู ้ประเภทวัสดุและสถานที่ ได้แก่ อาคาร สิ่ งก่อสร้าง วัสดุอุปกรณ์ และสิ่ งต่างๆ ที่ประชาชนสามารถศึกษาหาความรู ้ให้ได้มาซึ่งคําตอบ หรื อสิ่ งที่ตอ้ งการเห็น ได้ยนิ สัมผัส เช่น ห้อง สมุด ศาสนสถาน ศูนย์การเรี ยน พิพิธภัณฑ์ สถานประกอบการ ตลาด นิทรรศการ สถานที่ทาง ประวัติศาสตร์ ชุมชนแห่งการเรี ยนรู ้ต่างๆ 4. แหล่งเรี ยนรู ้ประเภทสื่ อ ได้แก่ สิ่ งที่ทาํ หน้าที่เป็ นสื่ อกลางในการถ่ายทอดเนื้อหาความรู ้ สารสนเทศ ให้ถึงกัน โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ แหล่งเรี ยนรู ้

54

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

ประเภทนี้ ทําให้ขบวนการเรี ยนรู ้เป็ นไปได้อย่างรวดเร็ ว มีประสิ ทธิภาพสูง ทั้งสื่ ออิเล็กทรอนิกส์ สื่ อสิ่ ง พิมพ์ สื่ อโสตทัศนวัสดุ 5. แหล่งเรี ยนรู ้ประเภทเทคนิค สิ่ งประดิษฐ์คิดค้น ได้แก่ สิ่ งที่แสดงถึงความก้าวหน้าทาง นวัตกรรม เทคโนโลยีดา้ นต่างๆที่ได้มีการประดิษฐ์คิดค้น หรื อพัฒนาปรับปรุ งขึ้นมา ให้มนุษย์ได้เรี ยน รู ้ถึงความก้าวหน้า เกิดจินตนาการ แรงบันดาลใจ 6. แหล่งเรี ยนรู ้ประเภทกิจกรรม ได้แก่ การปฏิบตั ิการด้านประเพณี วฒั นธรรม ตลอดจนการ ปฏิบตั ิการ ความเคลื่อนไหว เพื่อแก้ปัญหาและปรับปรุ งพัฒนาสภาพต่างๆในท้องถิ่น การที่มนุษย์ เข้าไปมีส่วนร่ วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น การรณรงค์ป้องกันยาเสพติด การส่ งเสริ มการเลือกตั้งตาม ระบอบประชาธิปไตย การรณรงค์ความปลอดภัยของเด็กและสตรี ในท้องถิ่น ประเภทของแหล่ งเรียนรู้ แบ่ งตามสาระลักษณะกายภาพและวัตถุประสงค์ แบ่งได้เป็ น 5 กลุ่ม ดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มบริ การข้อมูล ได้แก่ ห้องสมุด อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์วทิ ยาศาสตร์ ศูนย์การเรี ยน สถานประกอบการ 2. กลุ่มงานศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ อุทยานประวัติศาสตร์ อนุสรณ์สถาน อนุสาวรี ย ์ ศูนย์วฒั นธรรม หอศิลป์ ศาสนสถาน เป็ นต้น 3. กลุ่มข้อมูลท้องถิ่น ได้แก่ ภูมิปัญญา ปราชญ์ชาวบ้าน สื่ อพื้นบ้าน แหล่งท่องเที่ยว 4. กลุ่มสื่ อ ได้แก่ วิทยุ วิทยุชุมชน หอกระจายข่าว โทรทัศน์ เคเบิลทีวี สื่ ออิเล็กทรอนิกส์ อินเทอร์เน็ต หนังสื ออิเล็กทรอนิกส์(e-book) กลุ่มสันทนาการ ได้แก่ ศูนย์กีฬา สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์สนั ทนาการ เป็ นต้น

การศึกษาสํ ารวจแหล่ งเรียนรู้ ในชุมชน / ใกล้ ตวั 1. ภูมปิ ัญญา การจัดแบ่งประเภท สาขาของภูมิปัญญาไทย จากการศึกษา พบว่า ได้มีการกําหนดสาขาของ ภูมิปัญญาไทยไว้อย่างหลากหลาย ขึ้นอยูก่ บั วัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งนักวิชาการแต่ละ ท่านได้กาํ หนดไว้ในหนังสื อสารานุกรมไทย โดยได้แบ่งภูมิปัญญาไทย ได้เป็ น 10 สาขา ดังนี้ 1.1 สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู ้ ทักษะและเทคนิค ด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี บนพื้นฐานคุณค่าดังเดิม ซึ่งความสามารถพึ่งพาตนเองในภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทําการเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่ นาสวนผสม และสวนผสม ผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต การแก้ไขปัญหาโรคและแมลง และการรู ้จกั ปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็ นต้น

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

55

1.2 สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู ้จกั ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใน การแปรรู ปผลิตผล เพื่อชะลอการนําเข้าตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริ โภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็ นธรรม อันเป็ นขบวนการที่ทาํ ให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้ง การผลิตและการจําหน่ายผลิตผลทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็ นต้น 1.3 สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้ องกันและรักษาสุ ขภาพ ของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชน สามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุ ขภาพและอนามัยได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสุ ขภาพแบบพื้นฐาน การดูแลและรักษาสุ ขภาพแผนโบราณไทย เป็ นต้น 1.4 สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคุณค่า ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อมอย่างสมดุลและยัง่ ยืน เช่น การทําแนวปะการังเทียม การอนุรักษ์ ป่ าชายเลน การจัดการป่ าต้นนํ้าและป่ าชุมชนเป็ นต้น 1.5 สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริ หารจัดการด้านการสะสม และบริ การกองทุน และธุรกิจในชุมชนทั้งที่เป็ นเงินตราและโภคทรัพย์ เพื่อส่ งเสริ มชีวติ ความเป็ นอยู่ ของสมาชิกในชุมชน เช่น การจัดการเรื่ องกองทุนของชุมชนในรู ปของสหกรณ์ออมทรัพย์และธนาคาร หมู่บา้ น เป็ นต้น 1.6 สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวติ ของคนให้เกิดความมัน่ คงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการรักษา พยาบาลของชุมชน การจัดระบบสวัสดิการบริ การในชุมชน การจัดระบบสิ่ งแวดล้อมในชุมชน 1.7 สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่างๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็ นต้น 1.8 สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริ หารจัดการ ดําเนินงานของ องค์กรต่างๆ ให้สามารถพัฒนาและบริ หารองค์กรของตนเองได้ตามบทบาทและหน้าที่ขององค์กร เช่น การจัดการองค์กรของกลุ่มแม่บา้ น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มประมงพื้นบ้าน เป็ นต้น 1.9 สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถด้านภาษา ทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษาตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทําสารานุกรม ภาษาถิ่น การปริ วรรตหนังสื อโบราณ การฟื้ นฟูการเรี ยนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่นต่างๆเป็ นต้น 1.10 สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์และปรับใช้หลักธรรมคําสอน ทางศาสนา ความเชื่อและประเพณี ด้ งั เดิมที่มีคุณค่า ให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบตั ิ

56

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

วิธีการศึกษาเรียนรู้ จากภูมปิ ัญญา 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7.

เรี ยนรู ้จากการเล่าเรื่ องราว การเทศน์ เรี ยนรู ้จากการปฏิบตั ิจริ ง เรี ยนรู ้จากการทําตาม เลียนแบบ เรี ยนรู ้จากการทดลอง ลองผิด ลองถูก เรี ยนรู ้จากการศึกษาด้วยตนเอง เรี ยนรู ้จากการต่อวิชา เรี ยนรู ้จากการสอนแบบกลุ่ม วิธีการถ่ายทอดความรู ้ของภูมิปัญญา อาจมีลกั ษณะแตกต่างกันตามเอกลักษณ์เฉพาะ ตัวการศึกษาเรี ยนรู ้จากครู ภมู ิปัญญา จะช่วยทําให้ภมู ิปัญญาความรู ้หรื อคุณค่าของท้องถิ่นได้รับการ สื บทอดและพัฒนาต่อไป ส่ วนผูท้ ี่ศึกษาเล่าเรี ยนก็จะเห็นคุณค่าของสิ่ งที่ดีงามในท้องถิ่นของตน ด้วยความรัก ความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน ภูมิปัญญาไทยจึงถือเป็ นแหล่งข้อมูลการเรี ยนรู ้ที่สาํ คัญ ของท้องถิ่น 2. ศูนย์ การเรียนชุมชน ศูนย์การเรี ยนชุมชน สํานักงานส่ งเสริ มการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็ นแหล่งการเรี ยนรู ้สาํ คัญแห่งหนึ่ง ที่สาํ นักงานส่ งเสริ มการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ได้ดาํ เนินการจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ระดับตําบลทัว่ ประเทศ และเป็ นแหล่งเรี ยนรู ้ใกล้ตวั นักศึกษา เพื่อให้ เป็ นแหล่งส่ งเสริ มการเรี ยนรู ้ตลอดชีวติ ของประชาชนในชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่ วมในการจัดการ ศึกษาของชุมชน มุ่งสร้างโอกาสและให้บริ การการเรี ยนรู ้อย่างหลากหลาย วิธีสนองความต้องการและ เสนอทางเลือกในการพัฒนาตนเอง นําไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวติ โดยยึดหลักการชุมชนเป็ นฐานของ การพัฒนา ศูนย์ การเรียนชุมชน อาจแบ่งได้เป็ น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. ศูนย์การเรี ยนชุมชน ได้แก่ สถานที่ถ่ายทอดความรู ้ ทําหน้าที่เป็ นศูนย์กลางการจัด กิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในชุมชน เพื่อสร้างโอกาสในการเรี ยนรู้ การถ่ายทอด และเป็ นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิทยาการ ตลอดจนภูมิปัญญาของชุมชน 2. ศูนย์การเรี ยนชุมชนประจําตําบล ได้แก่ ศูนย์การเรี ยนชุมชนประจําตําบลที่ได้รับคัด เลือกให้ทาํ หน้าที่เป็ นศูนย์กลางประสานงานกับศูนย์การเรี ยนชุมชนและหน่วยงาน หรื อองค์กร หรื อ กลุ่มต่างๆในชุมชน ในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในตําบลอีกหน้าที่หนึ่ง นอกเหนือจากบทบาทหน้าที่ของศูนย์การเรี ยนชุมชน

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

57

วัตถุประสงค์ ของศูนย์ การเรียนชุมชน 1. เพื่อเป็ นศูนย์กลางการเรี ยนรู ้ และจัดกิ จกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย เพื่อให้ประชาชนได้รับการส่ งเสริ มให้เรี ยนรู ้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวติ 2. เพื่อสร้างเสริ มกระบวนการเรี ยนรู ้ในชุมชน 3. เพื่อสร้างโอกาสการเรี ยนรู ้สาํ หรับประชาชนในชุมชน 4. เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่ วมในการบริ หารจัดการ และจัดการศึกษาให้กบั ชุมชนเอง 3. ห้ องสมุดประชาชน ห้องสมุดประชาชน หมายถึง สถานที่จดั หา รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อการอ่าน การศึกษาค้นคว้าทุกชนิด มีการจัดระบบหมวดหมู่ตามหลักสากลเพื่อการบริ การ และจัดบริ การอย่าง กว้างขวางแก่ประชาชนในชุมชน สังคม ในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่จาํ กัดเพศ วัย ความรู ้ เชื้อชาติ ศาสนา รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่ งเสริ มการอ่าน การศึกษาค้นคว้าโดยไม่คิดมูลค่า โดยรัฐเป็ นผู ้ สนับสนุนทางการเงิน และมีบุคลากรที่มีความรู ้ทางบรรณารักษ์ศาสตร์เป็ นผูด้ าํ เนินการ 4. พิพธิ ภัณฑ์ ศาสนสถานและอุทยานแห่ งชาติ พิพิธภัณฑ์ เป็ นแหล่งเรี ยนรู ้ที่รวบรวม รักษา ค้นคว้า วิจยั และจัดแสดงวัตถุสิ่งของที่ สัมพันธ์กบั มนุษย์และสิ่ งแวดล้อม เป็ นบริ การการศึกษาที่ให้ท้ งั ความรู ้และความเพลิดเพลินแก่ ประชาชนทัว่ ไป เน้นการจัดกิจกรรมการศึกษาที่เอื้อให้ประชาชนสามารถเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเองอย่างอิสระ เป็ นสําคัญ ศาสนสถาน วัด โบสถ์ มัสยิด เป็ นศาสนสถานที่เป็ นรากฐานของวัฒนธรรมในด้านต่างๆ เป็ น ศูนย์กลางและส่ วนประกอบที่สาํ คัญในการทํากิจกรรมที่หลากหลายของชุมชน เป็ นแหล่งเรี ยนรู ้ที่มีค่า มากในทุกด้าน เช่น การให้การอบรมตามคําสัง่ สอนของศาสนา การให้การศึกษาด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมต่างๆ นับว่าเป็ นการให้การศึกษาทางอ้อมแก่ประชาชน วัด โบสถ์ และมัสยิด ที่เป็ นแหล่งการเรี ยนรู ้ที่สาํ คัญ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ถือเป็ นมหาวิทยาลัยแห่ง แรกของไทย ที่เป็ นแหล่งเรี ยนรู ้สาํ คัญด้วยการนวดแผนโบราณเพื่อรักษาโรคตํารายาสมุนไพร วัดพระ ศรี รัตนศาสดารามเป็ นแหล่งเรี ยนรู ้ ด้านจิตรกรรมฝาผนังเรื่ องรามเกียรติ์ 5. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ (Computer) หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่งที่สามารถรับโปรแกรม และข้อมูล ประมวลผล สื่ อสารเคลื่อนย้ายข้อมูลและแสดงผลลัพธ์ได้ เทคโนโลยี (technology) หมายถึง การนําความรู ้ทางด้านวิทยาศาสตร์หรื อความรู ้ดา้ นอื่น ๆ มาประยุกต์ใช้งานด้านใดด้านหนึ่งเพื่อใหงานนั้นมีความสามารถและมีประสิ ทธิภาพเพิ่มขึ้น สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ผา่ นกระบวนการเก็บรวบรวม และเรี ยบเรี ยง ที่เป็ นประโยชน์ต่อผูใ้ ช้

58

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information technology : IT ) หมายถึง การนําเทคโนโลยีมาใช้งานที่ เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้เป็ นสารสนเทศ เป็ นเทคโนโลยีที่ใช้เป็ นการผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ กบั เทคโนโลยีการสื่ อสารเพื่อช่ วยในการติ ดต่อสื่ อสารและการส่ งผ่าน ข้อมูลและสารสนเทศ ให้สะดวกรวดเร็ วมากขึ้น องค์ ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีส่วนประกอบดังนี้ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง เครื่ องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น แป้ นพิมพ์ เมาส์ หน่วยประมวลผลกลาง จอภาพ เครื่ องพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ฮาร์ดแวร์จะทํางานตามโปรแกรม หรื อซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้น 2. ซอฟต์แวร์ (Software) บางครั้งเรี ยกว่าโปรแกรม หรื อชุดคําสัง่ วัตถุประสงค์หลักของ ซอฟต์แวร์ที่สงั่ ให้ฮาร์ดแวร์ทาํ งาน คือการประมวลผลข้อมูล (Data) ให้เป็ นสารสนเทศ (Information) 3. เครื อข่ายคอมพิวเตอร์และการติดต่อสื่ อสาร (Computer network and communication) 4. ข้อมูลและฐานข้อมูล (Data and database) ในการประมวลผลข้อมูล คอมพิวเตอร์จะ ประมวลผลตามข้อมูลที่ป้อนเข้าสู่หน่วยรับข้อมูล ดังนั้นข้อมูลจึงเป็ นส่ วนสําคัญอย่างหนึ่งในการ ประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศเพื่อการตัดสิ นใจ

วงจรการทํางานของคอมพิวเตอร์ ในการทํางานของคอมพิวเตอร์ จะมีข้นั ตอนการทํางานพืน้ ฐาน 4 ขั้นตอน 1. รับข้ อมูล (Input) คอมพิวเตอร์จะทําหน้าที่รับข้อมูลเพื่อนําไปประมวล อุปกรณ์ที่ทาํ หน้าที่รับข้อมูลที่นิยมใช้ในปั จจุบนั ได้แก่ แป้ นพิมพ์ (Keyboard) และเมาส์ (Mouse) เป็ นต้น 2. ประมวลผล (Process) เมื่อคอมพิวเตอร์รับข้อมูลเข้าสู่ระบบแล้ว จะทําการประมวลผล ตามโปรแกรมหรื อคําสัง่ ที่กาํ หนด เช่น การคํานวณภาษี การคํานวณเกรดเฉลี่ย เป็ นต้น 3. แสดงผล (Output) คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากดการประมวลผลไปยังหน่วย แสดงผล อุปกรณ์ทาํ หน้าที่แสดงที่ใช้แพร่ หลายในปั จจุบนั ได้แก่ จอภาพ (Monitor)และเครื่ องพิมพ์ (Printer) เป็ นต้น 4. จัดเก็บข้ อมูล (Storage) คอมพิวเตอร์จะทําการจัดเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์เก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk)แผ่นฟลอบปี ดิสก์ (Floppy Disk)เป็ นต้น

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

59

คุณสมบัตขิ องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ถูกสร้ างขึน้ มาเพือ่ ให้ มจี ุดเด่ น 4 ประการ เพือ่ ทดแทนข้ อจํากัดของมนุษย์ เรียกว่ า 4 S special ดังนี้ 1. หน่ วยเก็บ (Storage) หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจํานวนมากและเป็ นเวลานาน นับเป็ นจุดเด่นทาง โครงสร้างและเป็ นหัวใจของการทํางานแบบอัตโนมัติของเครื่ องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็ นตัวบ่งชี้ ประสิ ทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่ องด้วย 2. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) โดยใช้เวลาน้อย เป็ นจุด เด่นทางโครงสร้างที่ผใู ้ ช้ทวั่ ไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด เป็ นตัวบ่งชี้ประสิ ทธิภาพของเครื่ อง คอมพิวเตอร์ที่สาํ คัญส่ วนหนึ่งเช่นกัน 3. ความเป็ นอัตโนมัติ (Self Acting) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลําดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อ เนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกําหนดโปรแกรมคําสัง่ และข้อมูล ก่อนการประมวลผลเท่านั้น 4. ความน่ าเชื่อถือ (Sure) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถกู ต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็ นสิ่ ง สําคัญที่สุดในการทํางานของเครื่ องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคําสัง่ และ ข้อมูลที่มนุษย์กาํ หนดให้กบั เครื่ องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถกู ต้องให้ กับเครื่ องคอมพิวเตอร์กย็ อ่ มได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถกู ต้องด้วยเช่นกัน จากการที่คอมพิวเตอร์มีลกั ษณะเด่นหลายประการ ทําให้ถกู นํามาใช้ประโยชน์ต่อการดําเนิน ชีวติ ประจําวันในสังคมเป็ นอย่างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่าง ๆ ซึ่งเรี ยกว่างานประมวลผล ( word processing ) นอกจากนี้ยงั มีการ ประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้

60

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

1. งานธุรกิจ เช่น บริ ษทั ร้านค้า ห้างสรรพสิ นค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ใน การทําบัญชี งานประมวลคํา และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งาน อุตสาหกรรม ส่ วนใหญ่กใ็ ช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่ วนของ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทําให้การผลิตมีคุณภาพดีข้ ึนบริ ษทั ยังสามารถรับ หรื อ งานธนาคาร ที่ให้บริ การถอนเงินผ่านตูฝ้ ากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ย ให้กบั ผูฝ้ ากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็ นระบบเครื อข่าย 2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุ ข สามารถนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในนํามาใช้ ในส่ วนของการคํานวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่ งจรวด ไปสู่อวกาศ หรื องานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็ นอุปกรณ์สาํ หรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผล ที่แม่นยํากว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็ วขึ้น 3. งานคมนาคมและสื่ อสาร ในส่ วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวัน เวลา ที่นงั่ ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรื อทุกสายการบินได้ ทําให้สะดวกต่อผูเ้ ดินทางที่ไม่ตอ้ ง เสี ยเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทาง อากาศ หรื อในการสื่ อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยูใ่ นวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่ งผลต่อ การส่ งสัญญาณให้ระบบการสื่ อสารมีความชัดเจน 4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการ ออกแบบ หรื อ จําลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสัน่ สะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคํานวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริ ง รวมทั้งการใช้ควบคุมและ ติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่ องมือ ผลการทํางาน 5. งานราชการ เป็ นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรู ปแบบ ทั้งนี้ข้ ึนอยูก่ บั บทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุม ทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จดั ระบบเครื อข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อ เชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ, กรมสรรพากร ใช้จดั ในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสี ยภาษี เป็ นต้น 6. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรี ยนการสอน ซึ่งมีการนําคอมพิวเตอร์มา ช่วยการสอนในลักษณะบทเรี ยน CAI หรื องานด้านทะเบียน ซึ่ งทําให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูล นักเรี ยน การเก็บข้อมูลยืมและการส่ งคืนหนังสื อห้องสมุด

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

61

ประเภทของคอมพิวเตอร์ 1. ซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) เป็ นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมี ประสิ ทธิภาพในการทํางานสูงสุ ด สามารถประมวลผลคําสัง่ ได้ 100 ล้านคําสัง่ ต่อนาที เหมาะกับงานที่ ต้องใช้ความละเอียด มีการคํานวณซับซ้อน และต้องการความถูกต้องแม่นยํา เช่น การพยากรณ์อากาศ การทดสอบทางอวกาศ งานสื่ อสารดาวเทียม งานวิจยั พลังงานนิวเคลียร์ งานวิจยั ขีปนาวุธ งานวิจยั วิทยาศาสตร์ เป็ นต้น 2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe computer) เป็ นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิ ทธิภาพรอง จากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการทํางานจากผูใ้ ช้ได้หลายร้อยคน ประมวลผลด้วยความเร็ ว สูง มีหน่วยความจําขนาดใหญ่ การจัดเก็บข้อมูลได้เป็ นจํานวนมากใช้กบั องค์การขนาดใหญ่ เช่น งาน ธนาคาร การจองตัว๋ เครื่ องบิน การลงทะเบียนและการตรวจสอบผลการเรี ยนของนักศึกษา งานสํามะโน ประชากรของรัฐบาล ประกันชีวติ เป็ นต้น 3. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) เป็ นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิ ทธิภาพในการทํางานน้อย กว่าเมนเฟรมแต่สูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ เหมาะกับงานที่มีขอ้ มูลจํานวนมาก สามารถรับรองการ ทํางานจากผูใ้ ช้ได้หลายคนในการทํางานที่แตกต่างกัน เช่น การคํานวณทางด้านวิศวกรรม ทําให้การ พัฒนามินิคอมพิวเตอร์เจริ ญอย่างรวดเร็ ว การจองห้องโรงแรม การทํางานด้านบัญชีขององค์การธุรกิจ เป็ นต้น 4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) เป็ นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีผนู ้ ิยมใช้แพร่ หลาย มาก ที่สุด มีขนาดเล็กและราคาถูก เคลื่อนย้ายได้สะดวก สามารถใช้งานโดยผูใ้ ช้คนเดียว (Stand alone) เหมาะกับงาน Word Precessing, Speead sheet, Accorting จัดทําสิ่ งพิมพ์ แบ่งได้ดงั นี้ 1. แบบติดตั้งใช้งานอยูก่ บั ที่บนโต๊ะทํางาน (Desktop Computer) 2. คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป (Notebook) พกพาสะดวก 3. คอมพิวเตอร์ แทปเลท (Tablet Computer) มีลกั ษณะคล้ายโน๊ตบุค๊ แต่มีความแตกต่าง คือ สามารถป้ อนข้อมูลทางจอภาพได้ (ใช้ปากกาชนิดพิเศษ) 4. คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา(Handheld Computer) มีขนาดเท่าฝ่ ามือ เช่น Palmtop, PDA (Personal Digital Assistant)

รู ปแบบการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ 1. การประมวลผลส่ วนบุคคล (Personal Computing : PC) งานเกี่ยวกับการประมวลผลคํา, งานด้านกราฟฟิ ก ตารางจัดการ การเขียนโปรแกรม 2. การประมวลผลแบบรวมศูนย์ (Centralized Computing) มีเครื่ องแม่ข่ายเท่านั้น ที่ทาํ การ ประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลทุกส่ วน

62

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

3. การประมวลผลแบบกระจาย (Distributed Computing) คอมพิวเตอร์ทุกเครื่ องต้องเชื่อมต่อ กันเป็ นเครื อข่าย โดยมีเครื่ องแม่ข่าย (Server) ทําการแจกจ่ายหน้าที่การทํางาน โดยเครื่ องลูกข่ายมีความ สามารถในการจัดเก็บและทําหน้าที่บางส่ วนได้โดยไม่ตอ้ งพึ่งพาเครื่ องแม่ข่าย โครงสร้ างข้ อมูล (Data Structure) บิต (Bit) คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็ นข้อมูลที่เครื่ องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนําไป ใช้งานได้ ซึ่งได้แก่ เลข 0 หรื อ เลข 1 เท่านั้น ไบต์ (Byte) หรือ อักขระ (Character) ได้แก่ ตัวเลข หรื อ ตัวอักษร หรื อ สัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 0, 1, …,9, A, B, …, Z และเครื่ องหมายต่างๆ ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากับ 8 บิต หรื อ ตัวอักขระ 1 ตัว เป็ นต้น ฟิ ลด์ (Field) ได้แก่ ไบต์ หรื อ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็ นฟิ ลด์ เช่น เลขประจําตัว ชื่อพนักงาน เป็ นต้น เรคคอร์ ด (Record) ได้แก่ ฟิ ลด์ต้ งั แต่ 1 ฟิ ลด์ ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกันเป็ น เรคคอร์ด เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจําตัว ยอดขาย ข้อมูลของพนักงาน 1 คน เป็ น 1 เรคคอร์ด ไฟล์ (Files) หรือ แฟ้มข้ อมูล ได้แก่ เรคคอร์ดหลายๆ เรคคอร์ดรวมกัน ซึ่งเป็ นเรื่ องเดียวกัน เช่น ข้อมูลของประวัติพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งหมดเป็ นไฟล์หรื อแฟ้ มข้อมูลเกี่ยวกับประวัติ พนักงานของบริ ษทั เป็ นต้น ฐานข้ อมูล (Database) คือ การเก็บรวบรวมไฟล์ขอ้ มูลหลายๆ ไฟล์ที่เกี่ยวข้องกันมารวมเข้า ด้วยกัน เช่น ไฟล์ขอ้ มูลของแผนกต่างๆ มารวมกันเป็ นฐานข้อมูลของบริ ษทั เป็ นต้น การวัดขนาดข้ อมูล ในการพิจารณาว่าข้อมูลใดมีขนาดมากน้อยเพียงไร เรามีหน่วยในการวัดขนาดของข้อมูล ดังต่อไปนี้ 8 Bit 1,024 Byte 1,024 KB 1,024 MB 1,024 GB

= = = = =

1 Byte 1 KB (กิโลไบต์) 1 MB (เมกกะไบต์) 1 GB (กิกะไบต์) 1TB (เทระไบต์)

อินเตอร์ เน็ตคืออะไร ในสังคมยุคข่าวสารเช่นปัจจุบนั นี้ แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยนิ คาว่า “อินเตอร์เน็ต” เหตุเพราะ อินเตอร์เน็ตได้กลายเป็ นส่ วนหนึ่งในชีวติ ประจาวันของคนจานวนมากในโลกนี้ไปแล้ว ประมาณกันว่า ในแต่ละวันมีผคู ้ นมากกว่า 50 ล้านคนในประเทศต่างๆ กว่า 150 ประเทศทัว่ โลกกาลังใช้อินเตอร์เน็ต กันอยู่ อาจเป็ นนักศึกษาคนหนึ่งในประเทศออสเตรเลียที่กาลังสื บค้นข้อมูลจากห้องสมุดแห่งหนึ่งใน ประเทศอังกฤษ หรื อเป็ นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นกาลังสัง่ ซื้ อหนังสื อจาก

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

63

ประเทศไทย เป็ นต้น การประกอบกิจกรรมต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตดังที่ได้กล่าวมานี้ เป็ นตัวอย่างที่ สะท้อนให้เห็นภาพของการสื่ อสารที่ไร้พรมแดนได้อย่างชัดเจนการใช้อินเตอร์ เน็ตในปั จจุบนั ได้ขยาย วงกว้างออกไปมากขึ้น โดยได้กา้ วล่วงเข้าไปในทุกสาขาอาชีพ ไม่ได้จากัดอยูเ่ ฉพาะด้านการศึกษาหรื อ การวิจยั เหมือนเมื่อเริ่ มมีการใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ ด้วยคุณสมบัติการเข้าถึงกลุ่มเป้ าหมายจานวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ ว และใช้ตน้ ทุนในการลงทุนตํ่า ทําให้อินเตอร์เน็ตเป็ นสิ่ งที่พึงปรารถนาขององค์กร ทั้งหลาย ได้มีความพยายามนาอินเตอร์เน็ตมาใช้เพื่อประโยชน์สาหรับหน่วยงานของตนในรู ปแบบ ต่างๆ อาทิ การประชาสัมพันธ์องค์กร การโฆษณาสิ นค้า การค้าขาย การติดต่อสื่ อสาร ฯลฯ นอกจากนี้ อินเตอร์เน็ตยังกลายเป็ นอีกสื่ อหนึ่งของความบันเทิงภายในครอบครัวไปด้วย ไม่วา่ จะเป็ นการฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรื ออ่านหนังสื อพิมพ์กต็ าม ล้วนแล้วแต่สามารถกระทาผ่านอินเตอร์เน็ตได้ท้ งั สิ้ น 1. ความหมายของอินเตอร์ เน็ต “อินเตอร์เน็ต” มาจากคาว่า International Network เป็ นเครื อข่ายของการสื่ อสารข้อมูลขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยเครื อข่ายคอมพิวเตอร์จานวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทัว่ โลกเข้าด้วยกัน คําว่ า “เครือข่ าย” หมายถึง 1. การที่มีคอมพิวเตอร์ต้ งั แต่ 2 เครื่ องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล (ทางตรง) และ หรื อสายโทรศัพท์ (ทางอ้อม) 2. มีผใู ้ ช้คอมพิวเตอร์ 3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน 2. หน้ าทีแ่ ละความสํ าคัญของอินเตอร์ เน็ต การสื่ อสารในยุคปั จจุบนั ที่กล่าวขานกันว่าเป็ นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเป้ าหมาย จานวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ ว และใช้ตน้ ทุนในการลงทุนตํ่า เป็ นสิ่ งที่พึงปรารถนาของทุกหน่วย งาน และอินเตอร์เน็ตเป็ นสื่ อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จึงเป็ นความจาเป็ นที่ทุก คนต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่น้ ี เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดงั กล่าวอย่างเต็มที่ อินเตอร์เน็ต ถือเป็ นระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้ มาตรฐานการสื่ อสารเดียวกัน เพื่อใช้เป็ นเครื่ องมือสื่ อสารและสื บค้นสารสนเทศจากเครื อข่ายต่างๆ ทัว่ โลก ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็ นแหล่งรวมสารสนเทศจากทุกมุมโลก ทุกสาขาวิชา ทุกด้าน ทั้งบันเทิง และวิชาการ ตลอดจนการประกอบธุรกิจต่างๆ เหตุผลสํ าคัญทีท่ าํ ให้ อนิ เตอร์ เน็ตได้ รับความนิยมแพร่ หลายคือ 1. การสื่ อสารบนอินเตอร์เน็ต ไม่จากัดระบบปฏิบตั ิการของเครื่ องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ ต่างระบบปฏิบตั ิการกันก็สามารถติดต่อสื่ อสารกันได้

64

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

2. อินเตอร์เน็ตไม่มีขอ้ จากัดในเรื่ องของระยะทาง ไม่วา่ จะอยูภ่ ายในอาคารเดียวกันห่างกัน คนละทวีป ข้อมูลก็สามารถส่ งผ่านถึงกันได้ 3. อินเตอร์เน็ตไม่จากัดรู ปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ท้ งั ข้อมูลที่เป็ นข้อความอย่างเดียว หรื ออาจ มีภาพประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย คือมีท้ งั ภาพเคลื่อนไหวและมีเสี ยงประกอบด้วยได้คาํ อื่นที่ใช้ในความหมายเดียวกับอินเตอร์เน็ต คือ Information Superhighway และ Cyberspace 3. อินเตอร์ เน็ตในประเทศไทย ประเทศไทยได้เริ่ มมีการติดต่อเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เน็ตใน พ.ศ. 2535 โดยเริ่ มที่ สํานัก วิทยบริ การจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เช่าวงจรสื่ อสารความเร็ ว 9600 บิตต่อวินาทีจากการสื่ อสาร แห่งประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2536 เนคเทคได้เช่าวงจรสื่ อสารความเร็ ว 64 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งช่วย เพิ่มความสามารถในการขนถ่ายข้อมูล ทาให้ประเทศไทยมีวงจรสื่ อสารระหว่างประเทศ 2 วงจร หน่วย งานต่างๆ ที่เข้าร่ วมเชื่อมโยงเครื อข่ายในระยะแรกๆ ได้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ และต่อมาได้ขยาย ไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆสาหรับภาคเอกชน ได้มีการก่อตั้งบริ ษทั สาหรับให้บริ การอินเตอร์เน็ตแก่ เอกชนและบุคคลทัว่ ไปที่นิยมเรี ยกกันว่า ISP (Internet Service Providers) หลายราย เช่น ศูนย์บริ การ อินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย (Internet Thailand) บริ ษทั เคเอสซีคอมเมอร์เชียลอินเตอร์เน็ตจากัด (Internet KSC) บริ ษทั ล็อกซเลย์อินฟอร์เมชันจากัด (Loxinfo) เป็ นต้น โดยในการพิจารณาเลือกใช้ บริ การจาก ISP เอกชนเหล่านี้ สิ่ งที่ควรคํานึงถึงคือ 1. อัตราค่าใช้จ่ายโดยรวม ทั้งค่าสมัครเป็ นสมาชิกและค่าใช้จ่ายเป็ นรายครั้ง รายเดือน หรื อรายปี 2. คานวนคู่สายโทรศัพท์ ว่ามีให้ใช้ติดต่อมากเพียงพอหรื อไม่ เพราะถ้ามีไม่มากก็จะเสี ยเวลา รอคอยนานกว่าจะเชื่อมต่อได้ 3. ความเร็ วของสายที่ใช้ 4. พื้นที่ในการให้บริ การ ควรเลือกใช้ ISP ที่อยูใ่ นจังหวัด หรื อพื้นที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า เพราะ ISP ส่ วนใหญ่มกั ให้บริ การในเขตกรุ งเทพมหานคร__ ประโยชน์ ของอินเตอร์ เน็ต อินเตอร์เน็ตนั้นเปรี ยบเสมือนกับเป็ นห้องสมุดขนาดใหญ่ที่เราสามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ได้ อย่างง่ายดายไม่วา่ จะเป็ นข้อมูลข่าวสาร , รู ปภาพหรื อระบบเสี ยง นอกจากนี้กย็ งั มีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกหลายอย่างคือ 1. สามารถติดต่อหรื อสนทนากับคนได้ทวั่ โลก 2. สามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล , ความคิดเห็น 3. สามารถช่วยในการค้นหาและโอนย้าย SOFTWARE ต่าง ๆ มาได้ฟรี 4. สามารถอ่านข่าวสารของกลุ่มสนทนาต่าง ๆ

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

65

5. สามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ทวั่ โลก เช่น พิพิธภัณฑ์ , สวนสัตว์ , แหล่งท่อง เที่ยว , สถานที่ต่าง ๆ เป็ นต้น 6. สามารถที่จะทําธุรกิจต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ตได้ มารยาทในการใช้ อนิ เตอร์ เน็ต 1. การใช้อกั ษรพิมพ์ตวั ใหญ่หมดทุกตัวในการเขียนจดหมายจะเหมือนการตะโกน ดังนั้นควร เลือกใช้ตวั อักษรให้เหมาะสม 2. ไม่การใช้อารมณ์ในการตอบโต้และควรรักษามารยาทโดยใช้คาํ ที่สุภาพ 3. ไม่มีความลับใด ๆ บน Internet ให้นึกเสมอว่าข้อความของเราจะมีคนอ่านมากมาย เมื่อ เขียนไปแล้วไม่สามารถลบล้างได้ เพราะฉะนั้น ควรใช้ถอ้ ยคําที่เหมาะสมและตรวจสอบคําสะกด ให้ถกู ต้อง 4. เคารพในความเป็ นส่ วนตัวของผูอ้ ื่น

อินเตอร์ เน็ตเบือ้ งต้ น อินเตอร์ เน็ต (Internet) คือ เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกิดขึ้นจากระบบเครื อข่าย คอมพิวเตอร์เล็ก ๆ รวมกันเป็ นระบบเครื อข่ายใหญ่ เพื่อใช้ในการติดต่อสื่ อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทัว่ โลก อินเตอร์ เน็ตเกิดขึน้ ได้ อย่ างไร รากฐานของอินเตอร์เน็ต เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปี มาแล้ว โดยเริ่ มจากเครื อข่าย ARPANET ของ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริ กา ซึ่งมีความประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลวิจยั ทางการทหาร หลัก จากนั้นระบบเครื อข่ายย่อยอื่น ๆ ก็ได้ทาํ การต่อเชื่อมและขยายแวดวงออกไปทัว่ โลก ดังนั้นอินเตอร์เน็ต จึงไม่ได้เป็ นของใครหรื อของกลุ่มใดโดยเฉพาะ อินเตอร์ เน็ตทําอะไรได้ บ้าง เดิมทีการใช้บริ การจํากัดให้ใช้ในด้านการศึกษาวิจยั และอยูใ่ นแวดวงการศึกษาเท่านั้น ต่อมา ได้มีการขยายในเชิงธุรกิจมากขึ้น ทําให้ขอบข่ายการใช้ Internet มีมากมาย เช่น 1. สามารถติดต่อกับคนได้ทวั่ โลก 2. สามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล , ความคิดเห็น 3. สามารถใช้ช่วยในการค้นหาและโอนย้าย Software ต่าง ๆ มาได้ฟรี 4. สามารถค้นคว้าวิจยั เปรี ยบเหมือนคุณเข้าห้องสมุดไปศึกษาค้นคว้าหนังสื อต่าง ๆ โดยที่ ตัวคนเองไม่ตอ้ งไปยังห้องสมุดนั้น 5. สามารถอ่านข่าวสารของกลุ่มสนทนาต่าง ๆ สามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ทวั่ โลก เช่น พิพิธภัณฑ์ , สวนสัตว์ เป็ นต้น

66

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

การปฏิบัตกิ ารศึกษาค้ นคว้ า รวบรวมข้ อมูล / ความรู้ จากแหล่ งเรียนรู้ 5 กลุ่มเนือ้ หา จาก กลุ่มบริการข้ อมูล กลุ่มศิลปวัฒนธรรมประวัตศิ าสตร์ กลุ่มข้ อมูลท้ องถิน่ กลุ่มสื่ อ กลุ่มสั นทนาการ การเขียนรายงานการค้ นคว้ า การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากแหล่งเรี ยนรู ้ต่างๆ ทําให้เกิดการเรี ยนรู ้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง มากกว่าการได้ฟังจากครู เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นยังเป็ นการเสริ มสร้างนิสยั รักการอ่าน เป็ นการ สร้างทักษะในการแสวงหาความรู ้ได้ดว้ ยตนเอง เพื่อประโยชน์ในการดํารงชีวติ พัฒนาตนเองและ พัฒนาสังคม การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจะปรากฏผลสมบูรณ์เมื่อมีการนําเอาความรู ้มารวบรวม เรี ยบเรี ยง จัดระเบียบความรู ้อย่างมีเหตุผล และต้องใช้ความสามารถทางภาษาในการเรี ยบเรี ยง เพื่อให้การเสนอ รายงานเป็ นลายลักษณ์อกั ษรที่สมบูรณ์ตามแบบแผนและลักษณะรายงานที่ดี ที่เป็ นสากลนิยม รายงาน ( Report ) เป็ นผลจากการค้นคว้า รวบรวมและเรี ยบเรี ยงสาระสนเทศที่ได้ไปศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง มานําเสนออย่างมีแบบแผน ถือเป็ นส่ วนหนึ่งในการประเมินผลนักศึกษา ในการจัด กระบวนการเรี ยนรู ้หมวดวิชาใดวิชาหนึ่ง วัตถุประสงค์ของการทํารายงาน เพื่อขยายความรู ้ให้กว้างขวางลึกซึ้ง จากการศึกษาด้วยตนเอง ฝึ กทักษะในการอ่าน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูล นํามาเรี ยบเรี ยงรายงานด้วยสํานวนตนเองตาม แบบแผน ลักษณะของรายงานทีด่ ี 1. เนื้อหาตรงกับหัวข้อเรื่ องหรื อรายงาน 2. สาระเนื้อหาเป็ นประโยชน์ต่อผูท้ าํ รายงานและผูอ้ ่าน 3. เนื้อหาสารถูกต้องเที่ยงตรง โดยรวบรวมข้อมูลจากแหล่งทรัพยากรสารสนเทศที่เชื่อถือได้ 4. การใช้ภาษาที่ถกู ต้อง สละสลวย เนื้อหาสัมพันธ์กนั กระชับรัดกุม อ่านแล้วเข้าใจง่าย 5. มีรูปภาพตาราง แผนภูมิ ฯลฯ ประกอบเนื้อหา 6. มีรูปแบบการเขียนที่ถกู ต้องทั้งปกนอก หน้าปกใน คํานํา สารบัญ บท / ตอน ของเนื้อหา สาระ การอ้างอิง การลงบรรณานุกรม ฯลฯ 7. มีความสะอาดไม่สกปรกเลอะเทอะ

ขั้นตอนของการเขียนรายงาน 1. การเลือกเรื่องรายงาน การเลือกเรื่ องรายงานอาจมีท้ งั ครู เป็ นผูก้ าํ หนดให้ในหลายหัวข้อเรื่ อง หรื อผูศ้ ึกษาอาจกําหนดหัวข้อ เรื่ องขึ้นเองที่เกี่ยวข้องกับสาระวิชาที่ศึกษาโดยได้รับความเห็นชอบจากครู อย่างไรก็ตามการเลือกเรื่ อง ควรคํานึงถึงสิ่ งต่อไปนี้

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

67

1.1 เรื่ องที่เลือกต้องน่าสนใจสําหรับผูศ้ ึกษาค้นคว้าและมีส่วนส่ งเสริ มความรู ้ทางวิชาการให้ เกิดความรู ้ใหม่ 1.2 เรื่ องที่เลือกมีแหล่งเรี ยนรู ้และสื่ อมาประกอบการอ้างอิงเพียงพอหรื อมีแหล่งเรี ยนรู ้ หรื อผู ้ รู ้ที่จะสอบถามได้ เพราะถ้าแหล่งอ้างอิงมีนอ้ ยจะทําให้รายงานไม่น่าเชื่อถือ 1.3 ขอบเขตของเนื้อหาให้สมั พันธ์กบั ระยะเวลาที่ศึกษาค้นคว้า กล่าวคือถ้าระยะเวลาสั้นเรื่ อง ควรมีขอบเขตของเรื่ องนั้นแคบ ถ้าระยะเวลานานเรื่ องควรมีขอบเขตเนื้อเรื่ องกว้างและลึกซึ้ง 2. การสํ ารวจแหล่ งความรู้ สาระสนเทศเกีย่ วกับเรื่องรายงาน เมื่อเลือกเรื่ องที่จะทํารายงานการค้นคว้าได้แล้ว ผูศ้ ึกษาจะต้องสํารวจดูวา่ มีหนังสื อ สิ่ งพิมพ์ วัสดุอา้ งอิง เว็บไซต์ใดบ้างที่จะใช้ศึกษาค้นคว้า และจะหาได้จากที่ใด แหล่งวัสดุที่จะทําการศึกษา ค้นคว้า มีดงั นี้ 2.1 โปรแกรม PLS จากคอมพิวเตอร์ ดูเรื่ องหรื อหัวเรื่ องที่เกี่ยวข้องกับเรื่ องรายงานหรื อชื่อ หนังสื อในฐานข้อมูลของห้องสมุด เป็ นต้น 2.2 บัตรรายการ สํารวจดูบตั รเรื่ อง หรื อหัวเรื่ องที่สมั พันธ์กนั 2.3 บัตรดรรชนี วารสาร ซึ่งเป็ นบัตรรายการของบทความจากวารสารต่างๆ 2.4 หนังสื ออ้างอิงต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ถ้าเป็ นความหมายของคํา ค้นจากพจนานุกรม ถ้าเป็ น ความรู ้พ้ืนฐานของเรื่ องต่างๆ ค้นหาจากสารานุกรม 2.5 หนังสื ออ้างอิงเฉพาะวิชาที่สมั พันธ์กบั เรื่ องที่เขียนรายงาน เช่น ถ้าเป็ นเรื่ องทางภูมิศาสตร์ สามารถค้นหาได้จากหนังสื ออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ พจนานุกรมศัพท์ภมู ิศาสตร์ ถ้าเป็ นเรื่ องทางการ แพทย์ ค้นหาได้จากพจนานุกรมทางการแพทย์ เป็ นต้น 2.6 ค้นจากโสตทัศนวัสดุต่างๆ 2.7 ค้นจากเว็บไซต์ต่างๆของอินเทอร์เน็ต 2.8 สอบถามจากผูร้ ู ้ผเู ้ ชี่ยวชาญ 3. การรวบรวมบรรณานุกรมเบือ้ งต้ น ในขณะสํารวจแหล่งความรู ้หนังสื อสิ่ งพิมพ์ วัสดุอา้ งอิง เว็บไซต์ ภูมิปัญญา ฯลฯ แล้วผูศ้ ึกษา ควรเตรี ยมกระดาษขนาดครึ่ งหน้าของกระดาษ A 4 หรื อขนาดอื่นๆไว้บนั ทึกบรรณานุกรมรายการเกี่ยว กับหนังสื อ

68

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

4. รู ปแบบการลงรายการทางบรรณานุกรม การลงรายการทางบรรณานุกรมมีหลักการคล้ายกับการลงรายการในบัตรรายการแต่ถา้ ข้อมูล ส่ วนไหนไม่ปรากฏก็ให้ขา้ มไป 1. รู ปแบบรายการบรรณานุกรมของหนังสื อ ชื่อผูเ้ ขียน.//ชื่อเรื่ อง/:/คําอธิบายชื่อเรื่ อง.//ครั้งที่พิมพ์.//สถานที่พิมพ์/:/ สํานักพิมพ์, ////// ปี ที่พิมพ์.

2. รู ปแบบบรรณานุกรมของบทความจากวารสารหรื อนิตยสาร ชื่อผูเ้ ขียนบทความ.// “ ชื่อบทความ. “ // ชื่อวารสารหรื อนิตยสาร เล่ม ที่หรื อปี ที่, ////// ฉบับที่( เดือน ปี )/: /เลขหน้า.

3. รู ปแบบบรรณานุกรมของบทความจากหนังสื อพิมพ์ ชื่อผูเ้ ขียนบทความ.// “ ชื่อบทความ. “/ ชื่อหนังสื อพิมพ์, /วัน เดือน ปี , ////// เลขหน้า.

4. การอ่านจับใจความและบันทึกข้อมูล วิธีการบันทึก 4.1 นํากระดาษที่เขียนบรรณานุกรมเบื้องต้นที่เตรี ยมไว้ในขั้นตอนที่ 3 เขียนหัวเรื่ องไว้ที่ มุมบนขวา ให้เห็นเด่นชัด และเขียนเรี ยกหนังสื อหรื อเลขหมู่ของหนังสื อรวมทั้งอักษรย่ออื่นๆ ซึ่งเป็ นที่บ่งบอก แหล่งที่อยูข่ องหนังสื อ ไว้บนมุมซ้ายบนของกระดาษ เพื่อความสะดวกเวลาตรวจสอบเนื้อหาบางตอน หรื อค้นคว้าเพิ่มเติมภายหลัง 4.2 จดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการอ่านแต่ละเล่มแต่ละหัวข้อลงบนกระดาษในข้อ 1 หัวข้อใดจด บันทึกไม่พอในแผ่นเดียวให้ใช้หลายแผ่น และใส่ หมายเลขแผ่นกํากับ แต่ละแผ่นที่มุมบนด้านขวา และ นําข้อมูลไปจัดทําบรรณานุกรมท้ายรายงาน กรณี คดั ลอกข้อความมาหรื ออ้างอิงหลักฐานเนื้อหา สามารถจัดทําได้หลายรู ปแบบ รู ปแบบง่ายได้แก่ จัดทําวงเล็บ ลงชื่อผูแ้ ต่ง เลขปี พ.ศ. และเลขหน้าที่ ปรากฏ ( กิติเกษม ใจชื่น , 2551 )

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

69

5. การวางโครงเรื่องรายงาน ความหมายของโครงเรื่อง โครงเรื่ องหมายถึง เค้าโครงของงานเขียนซึ่งเกิดจากการนําประเด็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับ หัวเรื่ อง ที่จะเขียนนั้นมาจัดหมวดหมู่เรี ยงลําดับก่อนหลัง เพื่อใช้เป็ นแนวทางในการเขียน อันจะทําให้สามารถ ถ่ายทอดความรู ้ ความคิดออกมาใดอย่างเป็ นระเบียบ ครอบคลุมและตรงจุดมุ่งหมาย ความสํ าคัญของโครงเรื่อง โครงเรื่ องที่ดีมีความสําคัญต่องานเขียน ดังนี้ 1. ช่วยให้งานเขียนมีจุดมุ่งหมายและขอบข่ายสมบูรณ์ชดั เจน ไม่ตกประเด็นและไม่ออกนอก ประเด็นที่กาํ หนด 2. ช่วยให้งานเขียนมีเอกภาพสัมพันธภาพ และสารัตถะภาพ ซึ่งจะส่ งผลให้เนื้อเรื่ องมีส่วนที่ เหมาะสมและอ่านเข้าใจง่าย 3. ใช้เป็ นแนวทางในการกําหนดรายละเอียดของเนื้อหา และกลวิธีการนําเสนอเนื้อหาในแต่ละ ประเด็นได้อย่างเหมาะสม ลักษณะของโครงเรื่องทีด่ ี โครงเรื่ องที่ดีจะต้องประกอบด้วยลักษณะสําคัญ ดังต่อไปนี้ 1. อยูใ่ นขอบข่ายของชื่อเรื่ องคือจะต้องไม่มีประเด็นใดอยูน่ อกขอบข่ายของเรื่ อง มิฉะนั้นจะ ทําให้โครงเรื่ องขาดเอกภาพ 2. มีน้ าํ หนักความสําคัญใกล้เคียงกันหรื อเสมอกัน กล่าวคือประเด็นหลักแต่ละประเด็นจะมี ความสําคัญเท่ากันหรื อใกล้เคียงกัน ไม่นาํ ประเด็นย่อยมาเป็ นประเด็นหลัก ไม่เช่นนั้นจะทําให้เนื้อเรื่ อง ขาดความสมส่ วนอันแสดงถึงความบกพร่ องในการจัดระเบียบเนื้อหา 3. มีความอิสระไม่ซ้ าํ ซอนกัน กล่าวคือ ประเด็นใหญ่แต่ละประเด็นจะต้องมีเนื้อหาแตกต่าง กัน ไม่มีการเหลื่อมลํ้ากัน หากมีส่วนซํ้าซ้อนกันเมื่อขยายความจะทําให้เรื่ องวกวนเข้าใจยาก 4. มีความสมบูรณ์ ซึ่งจะทําให้เขียนเนื้อหาได้ไม่ครอบคลุมหัวข้อเรื่ อง 5. มีการลําดับความสัมพันธ์ของเรื่ องเชื่อมโยงกันเป็ นอย่างดี กล่าวคือเมื่อแยกประเด็นหลัก ได้ครบถ้วนแล้ว จะต้องนํามาจัดลําดับใหม่ให้มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันอย่างมีระเบียบเมื่อขยายความ จะทําให้อ่านเข้าใจง่าย ใจความไม่สบั สน

70

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

ขั้นตอนการวางโครงเรื่อง หลังจากกําหนดเรื่ องและจุดมุ่งหมายของการเขียนแล้ว ลําดับต่อไปก็คือการวางโครงเรื่ องซึ่งมี 5 ขั้นตอนดังนี้ 1. ประมวลความคิด คือ การรวบรวมความคิดเกี่ยวกับเรื่ องที่จะเขียนไว้เป็ นข้อ ๆ ให้มากที่สุด ความคิดดังกล่าวนั้นอาจได้มาจากประสบการณ์ของตนเอง หรื อได้มาจากการศึกษาค้นคว้าจากหนังสื อ เอกสาร งานวิจยั หรื อการสัมภาษณ์ เป็ นต้น 2. เลือกสรรความคิด คือการนําความคิดที่รวบรวมได้มาคัดเลือกเอาเฉพาะความคิดที่ เกี่ยวข้องอยูใ่ นขอบข่ายของเรื่ องที่จะเขียน ความคิดใดไม่เข้าข่ายก็ตดั ออกไป 3. จัดหมวดหมู่ความคิด คือการนําความคิดที่เลือกสรรแล้วมาจัดหมวดหมู่ โดยรวมความคิด ที่ มีเนื้ อหาคล้ายคลึงกันเข้าไว้ในกลุ่มเดี ยวกัน ความคิดใดมี เนื้ อหาต่างออกไปก็จดั เป็ นกลุ่มใหม่ และต้องสรุ ปใจความของแต่ละกลุ่มเป็ นวลีหรื อประโยคสั้น ๆ ตั้งเป็ นหัวข้อหรื อประเด็นให้ชดั เจน หาก ประเด็นใดสามารถแยกเป็ นประเด็นรองหรื อประเด็นย่อยลงไปได้กใ็ ห้แยกไว้ดว้ ย 4. ลําดับความคิด คือการนําประเด็นหรื อหัวข้อมาจัดเรี ยงลําดับก่อนหลัง ซึ่งมีวธิ ีการหลาย แบบ เช่น ลําดับตามเหตุผล ตามเวลาหรื อเหตุการณ์ก่อนหลัง ตามความสําคัญ ตามทิศทางหรื อสถานที่ ลําดับจากส่ วนรวมไปหาส่ วนย่อยหรื อส่ วนย่อยไปหาส่ วนรวม 5. ขยายความคิดและตรวจสอบความสมบูรณ์ ขั้นนี้ให้พิจารณาความสมบูรณ์ของประเด็น ความคิดที่ได้จดั ระเบียบแล้ว หากพบข้อบกพร่ องก็ปรับปรุ งแก้ไข เช่น อาจเพิ่มหรื อรวมประเด็นย่อย บางประเด็นเข้าด้วยกัน ลําดับประเด็นใหม่ เป็ นต้น นอกจากนั้นให้พิจารณาขยายความคิดด้วยว่า ในแต่ละประเด็นจะให้รายละเอียดแค่ไหน และอย่างไรจึงจะสามารถขยายความได้ชดั เจนถูกต้อง 6. การเรียบเรียงเนือ้ หารายงาน ขั้นตอนการเรี ยบเรี ยงเนื้อหารายงานเป็ นตอนที่ยากที่สุด ผูเ้ ขียนต้องอาศัยความสามารถทางการใช้ ภาษาไทยในการเรี ยบเรี ยงเนื้อเรื่ อง ใช้ความสามารถในการลําดับความคิดให้เป็ นเรื่ องน่าสนใจมีวธิ ีการ ดังต่อไปนี้ 6.1 วิธีการเรี ยบเรี ยง สิ่ งสําคัญในการเรี ยบเรี ยงเนื้อหาของรายงานหรื อภาคนิพนธ์ คือ การเรี ยบ เรี ยงตามโครงเรื่ องวางไว้ และจัดลําดับข้อความให้ต่อเนื่องกันโดยตลอด ทั้งนี้ตอ้ งใช้ความรู ้และความ คิดเป็ นของตนนอกเหนือจากเนื้อหาในบัตรบันทึกที่ใช้อา้ งอิงประกอบอีกด้วย ไม่ควรคัดลอกเนื้อหา จากบัตรบันทึกมาปะติดปะต่อกันจนจบ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เป็ นอัญพจน์ อนึ่งข้อความตอนใดที่ใช้ เนื้อหาจากบัตรบันทึกไม่วา่ เป็ นรู ปของการย่อความ ถอดความ หรื อคัดลอกข้อความมาอ้างอิงประกอบ จะต้องแจ้งเอกสารที่ใช้อา้ งอิงไว้ในรายการอ้างอิงด้วย ในบางครั้ง ผูเ้ รี ยบเรี ยงจะมีปัญหาในการเรี ยบ เรี ยงความรู ้ ความคิดข้อมูลต่างๆ ที่คน้ คว้ามาได้ให้ผสมกลมกลืนกับความคิดเห็นของตน จึงเสนอว่า

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

71

ข้อความตอนใดที่จะต้องคัดลอกข้อความหรื อเสริ มความคิดเห็นของตนให้มีน้ าํ หนักขึ้น ก่อนถึง ข้อความดังกล่าวควรกล่าวนําเป็ นการเกริ่ นไว้ก่อน เพื่อป้ องกันมิให้ขอ้ ความของผูเ้ รี ยบเรี ยงรายงาน หรื อภาคนิพนธ์กบั ข้อความที่ยกมาต่างคนต่างอยู่ ขาดความน่าอ่านไป นอกจากนี้ ในการเขียนรายงานหรื อภาคนิพนธ์ ควรใช้ภาษาหรื อสํานวนโวหารเป็ นของตนเอง ใช้ประโยคสั้นๆ ให้ได้ใจความชัดเจนสมบูรณ์ ตรงไปตรงมาไม่วกวนหรื อกํากวม ตัวสะกดการันต์จะ ต้องถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ละเว้นการใช้ภาษาฟุ่ มเฟื อย การเล่นสํานวน หรื อ การยํ้าคํายํ้าความโดยไร้ประโยชน์ หรื อข้อความซํ้าซากที่เขียนไว้แล้วในตอนอื่นๆ ละเว้นการใช้อกั ษร ย่อ ยกเว้นคําซึ่งเป็ นที่ยอมรับกันอย่างเป็ นทางการแล้ว เช่น พ.ศ. ร.ศ. ตลอดทั้งการแยกคําด้วยเหตุที่เนื้อ ในบรรทัดไม่พอหรื อหมดเนื้อที่ในหน้าที่น้ นั เสี ยก่อน เช่น ไม่แยกคําว่า “ ละเอียด ” ออกเป็ น “ ละ ” ใน บรรทัดหนึ่ง ส่ วน “ เอียด ” อยูอ่ ีกบรรทัดต่อไปหรื อหน้าต่อไป 6.2 ขั้นตอนการเรี ยบเรี ยง 6.2.1 จัดบัตรบันทึกให้เป็ นหมวดหมู่ เรี ยงตามลําดับหัวข้อในโครงเรื่ อง ดังตัวอย่าง ตัวอย่าง การเรี ยงบัตรบันทึกสําหรับเรี ยบเรี ยงเนื้อหา 028.7 ส

การเขียนรายงาน : หัวข้อย่อย 1 สมจิตร พรมเทพ . บรรณ 101 ห้องสมุดและการค้นคว้า. เชียงใหม่ : วิทยาลัยครู เชียงใหม่, 2520 หน้า….

028.7 ล

การเขียนรายงาน : หัวข้อย่อย 2 ลมุล รัตนากร . การใช้หอ้ งสมุด. พิมพ์ครั้งที่6 แก้ไขเพิ่มเติม. กรุ งเทพฯ : สมาคมห้องสมุด แห่งประเทศไทย, 2522. หน้า.....

6.2.2 ในแต่ละหัวข้อ เรี ยงบัตรบันทึกตามลําดับความคิดที่จะเน้นเนื้อเรื่ องในหัวข้อนั้นๆ 6.2.3 เขียนรายงานหรื อภาคนิพนธ์โดยใช้วธิ ีการเรี ยบเรี ยงในข้อ 5.1 6.2.4 เมื่อเขียนรายงานฉบับร่ างเสร็ จแล้วพิจารณาอ่านและทบทวนแก้ไข ปรับปรุ งเพิ่ม เติมเนื้อเรื่ องให้มีส่วนประกอบครบ คือ ตอนนําหรื อบทนํา เป็ นการกล่าวถึงความสําคัญ ความหมาย หรื อภูมิหลังของเนื้อเรื่ องที่เขียน ตอนตัวเรื่ อง คือ เนื้อเรื่ องที่ผเู ้ ขียนจะแสดงให้ผอู ้ ่านเข้าใจหรื อรับ ทราบและตอนลงท้ายหรื อบทสรุ ปซึ่งเป็ นตอนสรุ ปความคิดเห็นแนะบางประการ เมื่อพอใจแล้วก็นาํ ไป 6.2.5 เขียนรายงานหรื อภาคนิพนธ์ตวั จริ ง ควรดําเนินงานเป็ นขั้นตอนดังนี้ 6.2.5.1 ศึกษารู ปแบบของรายงานหรื อภาคนิพนธ์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในส่ วนของเนื้อหา ซึ่ง จะครอบคลุมวิธีการเขียนรายการอ้างอิงด้วย

72

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

6.2.5.2 คัดลอกเนื้อหาของรายงานหรื อภาคนิพนธ์ดว้ ยลายมือที่ชดั เจนอ่านง่าย เป็ นระเบียบ หรื อพิมพ์ให้เรี ยบร้อย ทั้งนี้ตอ้ งคํานึงถึงความถูกต้อง การเว้นระยะ การจัดหน้า ตามรู ปแบบใน ข้อ 6.2.5.1 ความสะอาดและเป็ นระเบียบเรี ยบร้อยด้วย 7. การรวบรวมบรรณานุกรมท้ายบท 8. การเข้ารู ปเล่มรายงาน การจัดรู ปเล่ มของรายงาน การเสนอรายงานโดยเฉพาะรายงานที่เป็ นลายลักษณ์อกั ษรนั้นผูท้ าํ รายงานจะต้องคํานึงถึง การ จัดรู ปเล่ม และ การจัดรี ยงลําดับ ส่ วนประกอบต่างๆ ของรายงานด้วย เพื่อเป็ นที่สนใจน่าอ่านและน่าเชื่อถือ 1.ส่ วนประกอบของรายงาน มีวธิ ีนาํ เสนอในรู ปแบบที่ได้มาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วยสําคัญดังนี้ 1.1. ส่ วนประกอบตอนต้น หมายถึง ส่ วนหน้าหรื อส่ วนต้นของรายงานที่จะนําผูอ้ ่านเข้าสู่ เนื้อหาของรายงานประกอบด้วย ส่ วนย่อยๆ ได้แก่ 1.1.1 ปกนอก (cover) อาจเป็ นกระดาษสี น้ าํ ตาลหรื อปกที่สถานศึกษากําหนดให้ใช้ 1.1.2 หน้าปกในเป็ นหน้าที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรายงานซึ่งมีขอ้ ความดังนี้ - ชื่อเรื่ องของรายงาน - ชื่อผูจ้ ดั ทํารายงาน - ชื่อวิชาที่เรี ยน - ชื่อภาคเรี ยนและปี การศึกษาที่เสนอรายงาน - ภาคเรี ยนและปี การศึกษาที่เสนอรายงาน 1.1.3 คํานํา ได้แก่ขอ้ ความซึ่ งผูท้ าํ รายงานต้องการชี้ แจงให้ผอู ้ ่านได้ทราบวัตถุประสงค์ ของการทํารายงาน ขอบเขต เนื้อหาของรายงานวิธีการศึกษาค้นคว้า อาจมีคาํ กล่าวขอบคุณผูท้ ี่มีส่วน ช่วยเหลือในการทํารายงานด้วย 1.1.4.สารบัญคือบัญชีรายการสําคัญๆ ที่ปรากฏในรายงานเช่นคํานําสารบัญเนื้อเรื่ องซึ่ง แบ่งเป็ นหัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อยรายการโน้ตบรรณานุกรม ฯลฯ พร้อมระบุเลขหน้าที่รายการนั้นๆ ปรากฏในรายงาน 1.1.5.สารบัญภาพรายงานบางฉบับมีภาพถ่าย แผนที่ แผนภูมิ แผนสถิติฯลฯ ประกอบ เรื่ องเป็ นจํานวนมาก ผูท้ าํ รายงาน อาจทําสารบาญภาพไว้ดว้ ยเพื่อความสะดวกของผูอ้ ่านโดยบอกชื่อ ของภาพ และระบุหน้าที่ภาพปรากฏแต่ถา้ มีภาพประกอบ 2-3 ภาพ ก็ไม่จาํ เป็ นต้องทําสารบัญภาพ 1.2. ส่ วนที่เป็ นเนื้ อหาหมายถึงส่ วนที่เป็ นเนื้ อเรื่ องของรายงานที่ได้คน้ คว้ามาแล้วโดยผูท้ าํ รายงานนํามาเรี ยบเรี ยงใหม่นบั ว่า เป็ นส่ วนที่มีความสําคัญที่สุด ส่ วนนี้ประกอบด้วยรายการต่างๆ ได้แก่

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

73

1.2.1 ส่ วนบทนําข้อความในส่ วนนี้ เป็ นการนําผูอ้ ่านเข้าสู่ เรื่ องราวโดยการเรี ยกความ สนใจหรื อให้เหตุผลที่มาหรื อ ประวัติความเป็ นของเรื่ องที่จะนําเสนอต่อไป 1.2.2 ส่ วนที่เป็ นเนื้อหาเป็ นการเสนอเนื้อหาของรายงานตามลําดับโครงเรื่ องที่วางไว้อาจ แบ่งเป็ นบทเป็ นตอนตามเหมาะสม นอกจากนี้อาจมีภาพประกอบตารางหรื อข้อความในอัญประกาศที่ คัดมาหรื อข้อความที่ตอ้ งการอ้างอิงรายละเอียด ดังกล่าวจะนํา เสนอไว้ในส่ วนนี้ 1.2.3 ส่ วนสรุ ปเป็ นข้อความที่ รวมสรุ ปผลของการศึ กษาค้นคว้าอาจรวมข้อเสนอแนะ ความเห็นหรื อปั ญหาต่างๆ ที่ผทู ้ าํ รายงานคาดว่าจะเป็ นประโยชน์ต่อผูอ้ ่าน 1.3. ส่ วนประกอบตอนท้าย คือ ส่ วนที่รวบรวมแหล่งข้อมูลที่นาํ มาประกอบการเขียนรายงาน หรื อภาคนิพนธ์อาจมีรายการอื่นๆ ที่น่าสนใจบางเรื่ องที่ไม่อาจนําไปรวมไว้กบั ส่ วนอื่นๆของรายงาน ส่ วนประกอบตอนท้ายประกอบด้วย 1.3.1 บรรณานุกรม เป็ นส่ วนที่สาํ คัญยิง่ ส่ วนหนึ่งเนื่องจากเป็ นรายการที่แสดงหลักฐาน ประกอบ การศึกษาค้นคว้า รายการบรรณานุกรมนิยมจัดเรี ยงตามลําดับอักษรชื่อผูเ้ ขียนหนังสื อหรื อผู ้ เขียนบทความ ถ้ามีรายชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้เรี ยง ลําดับ ภาษาไทยมาก่อนกรณี ที่มีราย ชื่อวัสดุสารสนเทศประเภทอื่น เช่น สื่ อโสตทัศน์วสั ดุยอ่ ส่ วนสื่ ออิเล็กทรอนิกส์เป็ นจํานวนมาก อาจจัด เรี ยงรายชื่อวัสดุสารสนเทศแยกตามประเภทของวัสดุฯ ก่อนและหลังจากนั้นจึงนํามาจัดเรี ยง ตามลําดับ อักษรชื่อผูแ้ ต่งอีกครั้ง 1.3.2 ภาคผนวก คือรายการที่ผทู ้ าํ รายงานต้องการเสนอเพิ่มเติมนอกเหนือจากส่ วนที่เป็ น เนื้อเรื่ องเนื่องจากรายการนั้น ไม่เหมาะที่จะเสนอแทรกไว้ในส่ วนเนื้อหาแต่มีความสัมพันธ์และช่วยให้ เข้าใจเนื้อเรื่ องดีข้ ึน เช่น ตัวเลขสถิติ แบบสอบถามตารา ลําดับ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ 1.3.3 อภิธานศัพท์ คือรายการอธิบายความหมายของคําที่ปรากฏในรายงานมักจะเป็ นคํา เฉพาะสาขาวิชาหรื อ คําท้องถิ่น ในภาคต่างๆ ซึ่งผูอ้ ่านรายงานอาจไม่คุน้ เคยมาก่อน จึงควรนํามาอธิบาย ไว้ทา้ ยรายงาน

74

รายวิชาคลังปญญาชุมชน (ทร 03007)

ใบงานที่ 3 ชื่อ.........................................สกุล...........................................รหัสนักศึกษา............................................. ระดับ....................................กศน.ตําบล..............................................กศน.อําเภอ.................................. ตอนที่ 3 แหล่ งเรียนรู้ ในชุมชน คําชี้แจง จงตอบคําถามต่อไปนี้ลงในช่องว่าง 1. ) ให้นกั ศึกษาไปหาความหมายของ “ แหล่งเรี ยนรู ้” พร้อมอภิปรายถึงความสําคัญของแหล่งเรี ยนรู ้ จากหนังสื อในห้องสมุดและอินเทอร์เน็ต คน ละ 1 ความหมาย แล้วนํามาแบ่งกลุ่ม ๆ 5-6 คน อภิปราย และสรุ ปความหมายเป็ นกลุ่มแล้วรายงานหน้าชั้น ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… 2.)ให้นกั ศึกษาไปสํารวจภูมิปัญญาท้องถิ่นภายในชุมชนของตนเอง และจัดแบ่งประเภทตามลักษณะ รวบรวมจัดทําเป็ นรายงานเป็ นรู ปเล่ม ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… 3.)ให้นกั ศึกษาค้นหาความหมาย ของห้องสมุด และบอกประเภทของห้องสมุด โดยค้นคว้าข้อมูลจาก อินเทอร์เน็ต กลุ่มละ 5 คน โดยจัดทําเป็ นรู ปเล่มรายงานและอภิปรายหน้าชั้นเรี ยน ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………

View more...

Comments

Copyright � 2017 SILO Inc.